วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ส้วม

ชีวิตผมไม่รู้เป็นไงมันผูกติดผูกพันกับส้วมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คุณอ่านแล้วอาจจะไม่เชื่อตามมาดูกันแล้วคุณจะแปลกใจเหมือนกับผม ตอนผมเริ่มทำงานที่แรกผมอายุ 11 ที่ร้านขายทองเซ่งเฮงหลี ตอนนั้นทองบาทล่ะ 2 พันกว่าบาททำงานในตำแหน่งที่เขาเรียกว่า “อาเนี้ยว” แปลเป็นไทยก็คงเด็กทำงานทั่วไปแหละเพราะว่าผมต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ถูพื้น ซื้อข้าว ล้างทอง ล้างจาน อัดกรอบพระ เชื่อมทองและ “ล้างส้วม” ไม่รู้สิผมมีความรู้สึกว่าส้วมมันเป็นเหมือนห้องนอนนะถ้ามันสกปรกมันคงไม่น่าเข้าก็เลยใช้เวลาในการล้างและขัดส้วมนานมากว่างานอื่นๆหน่อย ผมเริ่มทำงานที่สาขา 2 เป็นสาขาแรกล้างส้วมจนได้ดีเถ้าแก่ก็เลยใช้ไปสาธิตวิธีล้างส้วมให้กับอาเนี้ยวคนอื่นๆดูอีกทั้ง 3 สาขาเลย พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็มีเรื่องกับส้วมอีกแหละจำได้ว่าตอนนั้นอายุสัก 17-18 ปีได้ทำงานกับบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นี่แหละแถวสีลมเป็น Technical Sale Support ทำหน้าทีเป็น presale ไปในตัวด้วยมีวันหนึ่งเจ้านายใช้ให้ไปหาลูกค้าที่ตึกซี.พี ลูกค้านัด 9 โมงเช้าแต่ผมไปถึงก่อนราวครึ่งชั่วโมง แล้ววันนั้นดันปวดท้องหนักขึ้นมากก็เลยหาห้องน้ำเข้าด้วยความที่ปวดหนักแล้วก็เร่งรีบปรากฏว่าผมเข้าห้องน้ำผิดไปเข้าห้องน้ำผู้หญิง ! พอเสร็จกิจออกจากห้องน้ำมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในห้องน้ำด้วยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่จะโทษผมก็ไม่ได้เพราะปกติห้องน้ำผู้หญิงมักจะอยู่หลังห้องน้ำชายแต่ตึกนี้ดันเอาห้องน้ำผู้หญิงไว้ก่อนห้องน้ำชายผมเข้าด้วยความเคยชินเลยเข้าผิด (ตอนนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนหรือยังใครอยู่กรุงเทพฯลองแวะไปดูก็ได้) อะไรไม่ว่าผู้หญิงที่เจอผมในห้องน้ำดันเป็นลูกค้าผมซะฉิบ อายและอายครับผมเสนองานไม่ออกเลยงานนี้เลยอด เค้าไม่ด่าผมก็บุญแล้วล่ะ

ออกจากที่ทำงานเก่าก็ไปทำงานกับฟิลิปส์ ที่หัวมุมถนนคอนแวนต์ตอนปี 35 ปีที่มีพฤษภาทมิฬนั่นแหละผมก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องในส้วมอีกเรื่องนี้ผมเล่าให้ฟังแล้วใครอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ ที่ฟิลิปส์นี่สมัยโน้นจะมีเซลล์เยอะมากๆแล้วเซลล์แต่ละคนก็จะมีมือถือใช้เกือบทุกคนแล้วเวลาเข้าห้องน้ำก็ไม่รู้เป็นไงชอบคุยโทรศัพท์กันจัง มีอยู่วันหนึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครนะผมกำลังนั่งส้วมแบบสบายอารมณ์อยู่ห้องข้างๆก็มีคนเข้ามานั่งแป็บเดียวก็ปู๊ดป๊าดแล้ว สักพักพี่แกก็กดโทรศัพท์ไปคุยกับแฟน (กรุณานึกภาพและทำตามไปด้วยจะได้อารมณ์มาก)

“คิดถึงมากเลยนะ...แพร็ด”

“อยู่บริษัท..อือึ (เสียงเบ่ง)” อีกฝ่ายคงถามว่าอยู่ไหน

“จ้า คิดถึงเหมือนกัน...(กดชักโครก)

โคตรได้อารมณ์เลย ไม่เข้าใจทำไมไม่ทำอะไรให้เสร็จก่อนแล้วค่อยโทรไปคุยก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่นั่งลองสังเกตุกันดูรับรองว่าต้องมีแบบผมแน่ แต่ในห้องน้ำผู้หญิงผมไม่รู้นะแบบว่าไม่เคยเข้าไปฟังอ่ะ

ยังมีอีกเยอะนะเรื่องในห้องน้ำเอาไว้เขียนมาให้อ่านใหม่เอาเป็นว่าฉายาที่ผมได้จากแม่บ้านที่ฟิลิปส์แกจะเรียกผมว่า “ไส้อั่ว” เพราะไม่รู้เป็นไรเข้าห้องน้ำทีไรเจอเรื่อยเลย ขอร้องล่ะครับ ก่อนออกจากห้องน้ำหันไปดูสักนิดรับผิดชอบกับของตัวเองสักหน่อยโลกนี้จะน่า”ดู”ขึ้นอีกเยอะเลยผมรับรอง

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

นเรศวร ยุทธนาวี

วันสงกรานต์ที่ผ่านมาไม่ได้ไปเล่นน้ำที่ไหนเลย มันรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงทุกวันเลยไม่อยากเล่นน้ำ เพราะว่ามันร้อน แล้วก็หนาวตอนโดนน้ำ หลานชายผมมันชวนไปสีลมก็ไม่ยอมไปกับมันเสียดายชะมัดอดดูของดีเลย เพราะเมียผมแท้ๆดันมาชวนไปดูนเรศวรซะได้ไม่งั้นอาจได้ไปก็ได้แต่ก็เอาเหอะนานๆไปดูหนังกันทีแบบว่าแอบสวีท 555
งวดนี้ไปดูที่เมเจอร์ฮอลีวู๊ด สุขสวัสดิ์ค่าตั๋ว 160 บาท โรงก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมไม่ปรับปรุงไม่พัฒนาพนักงานหน้าบูดตลอดศกเซ็งตั้งแต่ยังไม่ได้ดูล่ะ ไปดูรอบ 2 ทุ่มครึ่ง โฆษณาอีกราวๆ 15 นาที กว่าจะฉายก็เกือบ 3 ทุ่มล่ะ หนังเริ่มต้นด้วยการย้อนรอยภาค 1-2 ให้ดูก่อนแบบว่ากลัวคนจำไม่ได้ (แหงล่ะก็นานซะขนาดนั้น) อีกประมาณ 10 นาทีถึงเริ่มต้นภาค 3 หนังจบตอน 5 ทุ่ม 20 ตอนก่อนดูคนขายตั๋วบอกว่ายาว 3 ชั่วโมง แต่บวกลบคูณหารแล้วมันก็ได้แค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ตัดอะไรไปบ้าง...เอาเป็นว่าไปดูกันดีกว่าว่าผมรู้สึกไงกับหนังเรื่องนี้ ผมวิจารณ์หนังไม่เป็นเอาง่ายๆเลยล่ะกัน

- เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบช้าๆเนือบๆ แต่ไม่ถึงกับเฉื่อย
- รู้สึกเหมือนกับว่าจะปูเรื่องไปรอภาค 4 ยังไงก็ไม่รู้ครับ มีตัวละครโผล่มาอีกเยอะแยะเลยแต่ที่ไม่เข้าใจคือเอานุ่นกับจักจั่นมาทำไรฉากสองคนนี้นานมากแค่จะมาดูพม่าอ่ะ
- แล้วตัวละครอีกคนที่เล่นเป็นเจ้านายนุ่นกับจักจั่นเป็นใครไม่มีใครรู้อ่ะงงสุดๆ
- ภาคนี้มีฉากตลกมาแทรกอยู่ตลอดเวลา ผมชอบต๊อก ศุภกรณ์เล่นนะลองไปดูแล้วหาให้เจอว่าเล่นเป็นตัวอะไร
- ภาคนี้ไอ้ทิ้งเป็นพระเอกมีทั้งบู๊ บุ๋น รักแล้วก็ตลกด้วย
ดยรวมถ้าให้คะแนนนะผมให้ 7/10 ครับเพราะความเป็นหนังไทย สนับสนุนหนังไทยกันครับว่างๆก็ไปดูกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

สรจักร ที่ผมรู้จัก

ผมรู้จักับสรจักร ศิริบริรักษ์ ผ่านทางตัวหนังสือมาหลายปีดีดัก อาจจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นแฟนหนังสือก็ว่าได้ ผมซื้อและอ่านหนังสือของเขา (เกือบ) ทุกเล่ม ที่มีวางขายในตลาดยกเว้นก็แต่พวกสมุนไพร ยา อะไรทำนองนี้ซึ่งผมไม่ชอบอ่านเพราะประโยชน์มันเยอะเกินไปทำให้ปวดหัว อย่างผมมันต้อง ผีหัวขาด เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นฆาตกร จับโกหกนอสตราตามุส ศพทั้งหลายแหล่อะไรแบบนี้ถึงจะเหมาะ
อ่านมานานชอบแนวจิตนิดๆอ่านไปอ่านมาพี่เขาก็เลิกเขียนแนวที่ผมชอบไปซะงั้น (อันเนื่องมาจากงานที่เขียนทำเครียด แต่คนอ่านสนุก) แต่ไม่นานมานี้เพิ่งออกมาใหม่อีก 2 เล่มชื่อ วิญญาณครวญ, คนสองวิญญาณ เข้าใจว่าคิดถึงอะไรประมาณนี้ บวกกับเสียงเรียกร้องขอแฟนๆเลยกลับมาจับปากกาเขียนขึ้นอีกรอบแต่ครั้งนี้ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะความซาดิสม์ที่เพิ่มขึ้นของผมหรืออาจเป็นเพราะพี่เขาไม่ต้องการเครียดเหมือนเดิมก็ได้
ผมเองอ่านและตามติดผลงานพี่เขามาโดยตลอดโดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆผมมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายพี่เขาเหมือนกันนะ (ยกเว้นเรื่องการเขียน) เช่น เรียนที่โรงเรียนที่พอบอกชื่อโรงเรียนกับใครที่ไรมีแต่คนหัวเราะ + สงสัยว่าโรงเรียนอะไรว่ะมีชื่อแบบนี้ด้วย โรงเรียนผมชื่อ"โรงเรียนสุขานารี" ครับ เชื่อผมมั้ยล่ะ อยู่ที่โคราชโน่นแน่ะ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ว่างๆใครไปเที่ยวก็ลองแวะไปดูแล้วกัน หรือแม้กระทั่งว่าผมเองก็จบที่อัสสัมชัญมาเหมือนกัน แถมยังเป็นญาติกันด้วยนะแบบว่าแอบนับญาติเนื่องจากพี่แกเป็นคนบุรีรัมย์ส่วนผมมีแม่เป็นคนบุรีรัมย์ ผมก็โยงกันจนได้แหละ 555 เขียนไปเขียนมาชักนึกไม่ออกเอาไว้คราวหน้ามาเล่าเรื่องหนังสือพี่แกให้อ่านกันดีกว่าเผื่อมีคนสนใจ

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ของชำร่วยทำเองได้ ในสไตล์ที่เป็นคุณ


เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ไปไกลมากขึ้น จนเราสามารถแทบจะเรียกได้ว่าทำทุกอย่างได้แล้วบนคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เรียกว่าการพิมพ์ภาพลงวัสดุ ไม่ว่าจะเป็น ป้ายชื่อ เสื้อ แก้ว Mug หรือแม้กระทั่งพวงกุญแจ ไฟแช็ก ก็ยังสามารถทำได้ โดยการพิมพ์ภาพที่เราทำการตกแต่ง (หรือไม่ก็ตาม) ลงบนวัสดุที่ว่าได้ทันที หรือพิมพ์ลงบนกระดาษธรรมดาด้วยเครื่องอิงค์เจ็ต ด้วยหมึกพิเศษ จากนั้นก็ใช้ความร้อนในการทำปฏิกริยากับหมึกให้พิมพ์ติดลงวัสดุที่ต้องการได้อย่างง่ายได้ และสวยงามในสไตล์ที่เป็นคุณเอง!



สารสนเทศเพื่อชีวิต

สารสนเทศเพื่อชีวิต เป็นวิชาที่ว่าด้วยการใช้งานข้อมูล สารสนเทศ ระบบคอมพิวเตอร์พื้นฐาน การใช้งานอินเตอร์เน็ต พาณิช์อิเลคทรอนิกส์ ตลอดรวมจนถึงจริยธรรม หลักการยศาสตร์ พรบ.คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ ที่สามารนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยผู้เรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในวงการไอทีเท่านั้น เพราะสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกวิชาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเด็กเล็ก ผู้เฒ่าผู้แก่ก็หนีไม่พ้นอินเตอร์เน็ตใช้กันให้ทั่ว มี Facebook, Twitter กันเยอะมากๆทั้งๆที่บางคนยังใช้ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำไปแต่ก็มี...เอาล่ะมีก็ดีเพราะเจ้า Facebook กับ Twitter เนี่ยจริงๆมันมีประโยชน์มากๆทำให้คนเรารู้จักกันมากขึ้นได้เจอคนที่ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งที่อยากเจอแล้วก็ไม่อยากเจอ เอาไว้โฆษณาขายของ บอกต่อเรื่องราวต่างๆ ที่กิน ที่เที่ยว สารพัดแต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ผมคิดว่าใช้มันผิดประเภทเช่น โพสต์ต่อว่าต่างๆ การเมือง โดยเฉพาะเอาไปเล่นเกมส์นี่แหละ ไม่รู้ว่ารู้กันหรือเปล่าว่ามันกิน Bandwidth (ช่องสัญญาน) ของอินเตอร์เน็ตที่ใช้กันอยู่อย่างมโหฬารทำให้เน็ตมันช้ากันไปเหมาะโดยเฉพาะคนที่เล่นตามเน็ตสาธารณะ ร้านเน็ต โรงเรียน มหาวิทยาลัย บริษัท ห้างร้านต่างๆ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ถ้าจะเล่นก็เอาแต่พองามกลับบ้านมาเล่นดีกว่า อย่าไปเล่นตาม โรงเรียน มหาวิทยาลัย บริษัท ห้างร้าน โดยเฉพาะหอพักที่มีเน็ตไว้ให้บริการ ยังมีคนที่เขาต้องทำงาน ส่งงานอาจารย์อีกกว่าจะส่งเมล์ได้เล่นเอาร้องไห้เลยก็มี เอาเวลาไปเรียน ไปทำงานดีกว่านะผมว่า ถ้าอดไม่ไหวจริงๆก็ไปเล่นที่บ้านดีกว่าเพราะเงินเราเองเน็ตก็เน็ตเราเอง โชคดีอาจไปเจอข้างบ้านเล่นด้วยก็สวัสดีเพราะเน็ตประเทศไทยมันแชร์กันใช้ แต่จ่ายเงินเต็ม กลุ้ม ...
เกือบลืมไปถ้าใครใช้ทวิตเตอร์อยู่ก็ไม่ต้องเที่ยวทวิตให้คนไทยตีกันแล้วตัวเองนั่งสบายอยู่เมืองนอกนะมันรับไม่ได้ว่ะ กลับมาซะทีเหอะผมรออยู่ เหอๆๆ